อสูรแห่งกรุงลงกา
ทศกัณฐ์-พญายักษ์ลัษณะหัวโขน ทำเป็นหน้ายักษ์ 3 ชั้น คือ ชั้นแรกมีหน้าปกติ 1 หน้า และมีหน้าเล็ก ๆ เรียงกัน 3 หน้า ตรงท้ายทอย ชั้นที่ 2 ทำเป็นหน้าเล็ก ๆ 4 หน้าเรียงสีด้าน ชั้นที่ 3 ทำเป็นหน้าพรหมด้านหน้า หน้ายักษ์ด้านหลัง ปากแสยะตาโพลง สวมมงกุฎยอดชัย หน้าทศกัณฐ์ มี 3 สี คือ ปกติใช้หน้าสีเขียว ตอนนั้งเมืองใช้หน้าสีทอง และมีทำหน้าสีน้ำรักซึ่งยังไม่มีปรากฎใช้ในการแสดงนอกจากนี้ยังมีหัวโขนทศกัณฐ์แปลงเป็นพระอินทร์ในการรบครั้งสุดท้าย ลักษณะทำเป็นหน้าพระ 3 ชั้น สีเขียว มีเขี้ยว ซึ่งเป็นหัวโโขนเพียงหัวเดียวในเมืองไทยที่ประดิษฐ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 และยังมีหัวโขนหน้าทศกัณฐ์ที่ทำด้วยทองแดงปิดทองประดับกระจกอีก 1 หัวทศกัณฐ์มีกายสีเขียว 10 พักตร์ 20 กร เป็นโอรสองค์ที่ 1 ของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎานับเป็นกษัตริย์กรุงลงกาองค์ที่ 3 มีมเหสีคือ นางมณโฑ กับนางกาลอัคคี และนางสนมอีกจำนวนมาก มีโอรส 1,015 มีธิดา 2 องค์ อุปนิสัยไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม หยาบช้า สามารถถอดจิตออกจากตนได้ทำให้ประพฤติตนไม่ถูกต้องไปลักพานางสีดามเหสีของพระรามมาจึงเป็นต้นเหตุแห่งศึกกรุงลงกา ทำให้พี่น้องเผ่าพงศ์ยักษ์ล้มตายเป็นอันมาก ในที่สุดก็ตายด้วยศรของพระราม โดยหนุมานขโมยกล่องดวงใจไปได้
กุเปรัน-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีม่วงอ่อน ปากขบ ตาโพลง บางแห่งว่าปากแสยะ สวมมงกุฎกระหนกกายสีม่วงอ่อน 1 พักตร์ 2 กร โอรสท้าวลัสเตียนกับนางศรีสุนันทา เป็นพี่ชายต่างมารดากับทศกัณฐ์ ท้าวลัสเตียนให้ครอบครองเมืองกาลจักร และมองบุษบกแก้วของท้าวสหมลิวัน ซึ่งให้ไว้แก่ท้าวจัตุรพักตร์เป็นมรดก ทศกัณฐ์ต้องการแย่งชิงบุษบกไปครอบครอง กุเปรันหนีไปหาพระอิศวร ซึ่งกำลังเข้าฌานบนหลังช้าง พระอิศวรกริ้วถอดงาช้างขว้างไปปักอกทศกัณฐ์ และสาปให้ติดอยู่จนกระทั่งตายปได้
ทัพนาสูรหรือเทพาสูร-พญายักษ์ ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีหงดิน ปากขบตาโพลง บางแห่งว่าปากแสยะ สวมมงกุฎสามกลีบกายสีหงดิน (อสูรพงษ์ฉบับสมุดไทยว่าสีหงเสน) มี 1 พักตร์ 2 กรเป็นโอรสท้าวลัสเตียนกับนางจิตรมาลีพี่ชายจต่างมารดาของทศกัณฐ์ครองเมืองจักรวาล ทศกัณฐ์เชิญไปช่วยรบกับพระราม
กุมภกรรณ-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน ทำเป็นหน้ายักษ์ 4 หน้า เพื่อให้ต่างกับเสนายักา คือ เป็นหน้าปกติ 1 หน้า และเป็นหน้าเล็ก ๆ 3 หน้า เรียงกันอยู่ตรงท้ายทอย ปากแสยะตาโพลง หัวโล้น สวมกะบังหน้าไม่มีมงกุฎ หน้ามี 2 สี คือ หน้าสีเขียว กับหน้าสีทองกายสีเขียว 1 พักตร์ 2 กร เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับทศกัณฐ์ ได้เป็นอุปราชเมืองลงกามเหสีชื่อนางจันทวดี สนมเอกชื่อนางคันธมาลี มีอุปนิสัยตั้งมั่นอยู่ในสัจธรรม แต่จำใจช่วยรบกับพระรามเพื่อสนองคุณทศกัณฐ์ มีหอกโมกขศักดิ์เป็นอาวุธวิเศษ รบกับพระรามหลายครั้งและในที่สุดตายด้วยศรของพระราม
พิเภก-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักาสีเขียว ปากแสยะตาจระเข้ สวมมงกุฎน้าเต้ากลมกายสีเขียว 1 พักตร์ 2 กร เป็นน้องร่วมบิดามารดากับทศกัณฐ์ ประวัติกล่าวว่า ชาติก่อนเป็นเวสสุญาณเทพบุตรมาจุติ มีความรอบรู้คัมภีร์ไตรเภทและโหราศาสตคร์ ด้วยความประสงค์ของพระเป็นเจ้าเพื่อให้เป็นไส้ศึก รู้เล่ห์กลของพวกยักษ์ เปิดเผยให้แก่พระราม ทศกัณฐ์ขับออกจากเมือง เพราะแนะนำให้ส่งนางสีดาคืนจึงสมัครไปอยู่กับพระรามด้วยตรวจดวงชะตาตนเองว่าพระรามจะเป็นผู้อุปถัมภ์มีบทบาทและปฎิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์ในการสงคราม เช่น การหาฤกษ์ยาม การทำนายฝัน บอกวิธีการแก้กลอุบายการใช้อาวุธและความลับต่าง ๆ เพื่อชัยชนะ เสร็จศึกลงกาได้เป็นเจ้าลงการ มีนามว่าท้าวทศคิริวงศ์ ต่อมาเกิดกบฎในกรุงลงกา ถูกจองจำได้รับความช่วยเหลือจากพระรามและหนุมาน
ตรีเศียร-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีขาว ๓ หน้า ทำเป็นหน้าปกติ ๑ หน้า หน้าเล็กอยู่ตรงท้ายทอย ๒ หน้า ปากขบตาจระเข้ บางแห่งว่าปากแสยะ สวมมงกุฎชัยหรือมงกุฎยอดน้ำเต้า ๓ ยอดกายสีขาว ๓ พักตร์ ๖ กร เป็นน้องชายร่วมครรภ์มารดาของทศกัณฐ์ครองเมืองมัชวารีรบกับพระรามด้วยความโกรธแค้นที่พญาขร พญาทูษณ์พี่ชายถูกพระรามฆ่าตายและตนเองก็ตายด้วยศรพระราม
อินทรชิต หรือ รณพักตร์-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีเขียว ปากขบ ตาโพลงเขี้ยวคุด (ดอกมะลิ) สวมชฎามนุษย์หรือชฎายอดกาบไผ่เดินหนแบบพระอินทร์ จอนหูมี ๒ แบบ คือจอนหูแบบมนุษย์และจอนหูแบบยักษ์ นอกจากนี้ยังทำหน้าสีทองอีกแบบหนึ่ง และในตอนเป็นเด็กสวมกะบังหน้ามีเกี้ยวรัดจุก(ชฎาเด็กหรือหัวกุมารไว้จุก)กายสีเขียว ๑ พักตร์ ๒ กร เป็นโอรสทศกัณฐ์กับนางมณโฑ มีมเหสีชื่อนางสุวรรณกันยุมา มีบุตรชื่อยามลิวันและกันยุเวก อินทรชิตเดิมชื่อรณพักตร์เมื่อรบชนะพระอินทร์ทศกัณฐ์จึงตั้งชื่อให้ว่าอินทรชิต ได้รับพระจากพระเป็นเจ้าสามองค์คือ พระอิศวร พระพรหมและพระนารายณ์มีอิทธิฤิทธิ์มากรบกับพระรามหลายครั้งหลายหน ตายด้วยศรพระลักษณ์ที่เนินเขาจักรวาลตอนตายองคตต้องนำพานจากพระพรหมธาดามารองนับเศียรอินทรชิต เพื่อมิให้ตกถึงพื้นเพราะจะเกิดไฟไหม้ทั่วทั้งจักรวาล
แสงอาทิตย์-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีแดงชาด ปากขบ ตาจระเข้ บางแห่งว่าปากแสยะ ตาโพลง สวมมงกุฎกระหนกกายสีแดงชาด มี ๑ พักตร์ ๒กร เป็นโอรสองค์ที่ ๒ ของพญาขรกับนางรัชฎาสูร อนุชามังกรกัณฐ์ มีอาวุธเป็นแว่นวิเศษ ซึ่งฉายส่องไปที่ไหนจะบังเกิดไฟไหม้ ฝากไว้ที่ท้าวธาดาพรหมแสงอาทิตย์ตายด้วยศรพระรามในสนามรบ พร้อมกับพี่เลี้ยงชื่อจิตรไพรี
ทศพิน (ไพนาสุริยวงศ์)-ยักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีเขียว ปากขบตาโพลงเขี้ยวคุด(ดอกมะลิ) สวมชฎามนุษย์หรือชฎายอดกาบไผ่เดินหนแบบอินทรชิต จอนหูแบบมนุษย์และในตอนเด็กสวมกะบังหน้ามีเกี้ยวรัดจุก (ชฎาเด็ก หรือ หัวกุมารไว้จุก)กายสีเขียว ๑ พักตร์ ๒ กร เป็นโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑเมื่อพิเภกครองกรุงลงกาหลังจากทศกัณฐ์ตาย ได้นางมณโฑเป็นมเหสี ขณะนั้นนางมณโฑตั้งครรภ์อยู่แล้วเมื่อคลอดพิเภกเข้าใจว่าเป็นลูกของตน เมื่อไพนาสุริยวงศ์เติบโตขึ้น พี่เลี้ยงชื่อวรณีสูรเป็นผู้บอกความจริงและยุให้เป็นกบฏเกิดศึกกรุงลงกาอีกตรั้ง พระพรตเป็นผู้มาปราบกบฏและสั่งประหารไพนาสุริยวงศ์พร้อมกับพี่เลี้ยง
อสูรเทพบุตร
หิรันตยักษ์-อสูรเทพบุตรลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีทอง ปากแสยะตาโพลง บางแห่งว่าปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎกระหนกกายสีทอง มี 1 พักตร์ 2 กร เป็นอสูรอาศัยอยู่เขาจักรวาล ทำพิธีตบะที่เขาวินันตก พระอิศวรจึงประทานพรให้มีฤทธิ์มาก หิรันตยักษ์สำแดงเดชม้วนแผ่นดินทำให้เดือดร้อนไปทั่ว พระอิศวรจึงบัญชาให้พระนารายณ์ไปปราบ พระนารายณ์แปลงกายเป็นหมูและฆ่าหิรันตยักษ์ตาย
รามสูร-อสูรเทพบุตรลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีเขียว หรือสีทอง ปากขบตาโพลง สวมมงกุฎกาบไผ่ มีทั้งจอนหูแบบยักษ์และจอนหูแบบมนุษย์ อีกแบบหนึ่งจะสวมชฎาดอกลำโพง แบบหัวโขนหน้าฤาษีกายสีเขียว และทำเป็นหน้าทองอีกแบบหนึ่ง มี 1 พักตร์ 2 กร มีขวานเพชรเป็นอาวุธเป็นผู้มีอุปนิสัยเกเร ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์กล่าวถึงตอนฤดูวสันต์ เทวดานางฟ้าจับระบำเล่นนักขัตฤกษ์ รามสูรไล่จับนางเมขลาล่อแก้ว พบอรุชุนเหาะมา สู้รบกันและจับอรชุนฟาดเขาพระสุเมรุตาย อีกตอนหนึ่งรามสูรเที่ยวประพาสป่าพบขบวนพระรามซึ่งกลับจากการอภิเษกนางสีดาเพื่อไปอโยธยารบกับพระรามพ่ายแพ้ พระรามไว้ชีวิต จึงได้ถวายศรให้
พิราพหรือวิราช-อสูรเทพลักษณะหัวโขน ทำเป็นหน้ายักษ์ซึ่งมีลักษณะหน้าแปลกจากยักษ์อื่น คือ หน้ากางคางออก เรียกว่าหน้าจาวตาล สีม่วงแก่ หรือสีน้ำรัก หรือสีทอง ปากแสยะ ตาจระเข้ หัวโล้น สวมกะบังหน้า ตอนทรงเครื่องสวมมงกุฎยอดเดินหน นอกจากนี้ยังมีหัวโขนพระพิราพที่ประดิษฐ์ด้วยโลหะ เป็นเทพอสูรผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ซึ่งศิลปินโขนละคร และดนตรีไทยให้ความเคารพสักการะ ในฐานะเป็นบรมครูในวิชาดุริยางคศาสตร์ และนาฎศิลป์ อินเดียเรียกว่า พระไภรวะ ส่วนทางประเทศเนปาลเรียกว่า พระไภราพ ซึ่งเป็นปางที่ดุร้าย ของพระอิศวรปางหนึ่ง ทั้งยังเป็นเทพเจ้าแห่งนาฎศิลป์และความตายอีกด้วยกายสีม่วงแก่ 1 พักตร์ 2 กร มีกายเป็นวงทักขิณาวัฎ อาศัยอยู่เชิงเขาอัศกรรณ พระอิศวรกำหนดเขตป่าให้อยู่ และสามารถจับสัตว์ที่พลัดเข้าไปในเขตนั้นกินได้ พิราพได้นำชมพู่พะวาทอง อันมีรสโอชามาปลูกไว้ในสวน กำชับพลยักษ์ให้ดูแล ทุกเจ็ดวันจะมาดู เมื่อพระรามเดินดงได้ผ่านเข้าไปในสวนเก็บผลไม้กิน พลยักษ์มาพบรุมกันจับ ถูกพระลักษณ์ฆ่าตาย เมื่อพิราพมาสวนจึงสอบถามเรื่องราวจึงตามไปและลักนางสีดา สู้รบกับพระราม พระลักษณ์ตายด้วยศรพระราม
เหรันต์ หรือเหรันตทูต-อสูรเทพบุตรลักษณะหัวโขน ปากเสยะ ตาโพลง บางแห่งว่าปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎจีบกายสีม่วงอ่อน มี 1 พักตร์ 2 กร อาศัยอยู่เขาหิมพานต์ เป็นอสูรที่มีฤทธิ์เดชมาก จับมนุษย์ และสัตว์กินเป็นอาหาร วันหนึ่งได้ออกไปเที่ยวป่า พบท้าวทศรถพาพระมเหสีทั้ง 3 ประพาสป่า เกิดการสู้รบกัน และถูกท้าวทศรถฆ่าตาย
อสูรกษัตริย์
ตรีบูรัม-พญารากษสลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีดำหมึก ปากแสยะตาโพลง บางแห่งว่าปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎน้ำเต้ากลมรูปทรงปลี กายสีดำหมึก มี 1 พักตร์ 2 กร ครองกรุงโสพัส บำเพ็ญเพียรเพื่อขอพระอิศวรมิให้ใครฆ่าได้ แม้แต่พระนารายณ์ เมื่อได้พรแล้วกลับกระทำหยาบช้าเบียดเบียนโลกเดือดร้อนไปทั่วทั้งเทวดา ฤาษี มนุษย์ พระอิศวรจึงต้องปราบด้วยตาไฟ เผาผลาญตรีบูรัมตาย
อนุราช หรืออุณาราช(กกกะหนาก)-พญารากษสลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีจันทร์อ่อน ปากแสยะตาจระเข้ สวมมงกุฎกระหนกกายสีจันทร์อ่อน บางตำราว่าสีนวลจันทร์มี 1 พักตร์ 2 กร เดิมเป็นเทพบุตร ต้องโทษเพราะขาดการเข้าเฝ้าพระอิศวรจึงสาปให้ไปเกิดเป็นพญารากษสครองกรุงมหาสิงขรเมื่อรพะนารายณ์อวตารมาปราบอธรรมให้เอาต้นกกแผงไปตรึงไว้กับหิน ทรมานอยู่จนถึงแสนโกฏ์ปี จึงถูกพระรามแผลงศรต้นกกดังคำสาปเมื่อครั้งที่พระรามเดินดงครั้งหลัง
ตรีปักกัน-รากษสลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีเขียวแก่ ปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎกระหนก กายสีเขียวแก่ มี 1 หน้า 2 มือเป็นโอรสท้าวกุเวรนุราชกับนางเกศินี ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์กล่าวถึงตอนออกประพาสป่า พบพระราม พระลักษณ์และทหารวานร สั่งให้ทหารจังตัว เกิดการสู้รบกันตายด้วยศรพระลักษณ์
อสูรวายุภักษ์-พญารากษสลักษณะหัวดขน หน้ายักษ์สีเขียวแก่ ปากแสยะตาจระเข้ มีจะงอยปากเหมือนนกอินทรี สวมมงกุฎน้ำเต้ามีกาบรับบัวแวงกายสีเขียวแก่ มี 1 หน้า 2 มือ มีกายและหน้าเป็นอสูรเท้าและหางเพียงท่อนเองเหมือนนกอินทรี ปีกแขนทั้งสองมีครีบดังพญาครุฑ บิดาเป็นยักษ์ มารดาเป็นนก อสูรวายุภัษ์ครองเมืองมหาวิเชียรธานี บินมาพบพระราม พระลักษณ์ เมื่อเดินดงครั้งหลัง จึงโฉบไปเพื่อกินเป็นอาหาร สุครีพ หนุมาน และทหารวานรพากันไล่ตาม ช่วยพระราม พระลักษณ์ได้ ฆ่าวายุภักษ์เสีย
ท้าวคนธรรพ์นุราช -พญารากษสลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีเขียวแก่ ปากขบตาจระเข้ สวมชฎาโพกอย่างวิชาธร หรือชฦาลอมพอก หรือมงกุฎกาบไผ่ บางตำราว่าไม่มีมงกุฎกายสีเขียวแก่ มี 1 พักตร์ 2 กร เป็นกษัตริย์เมืองดิศศรีสิน มีมเหสีชื่อนางนันทา และมีโอรสชื่อว่า วิรุณพัท คนธรรพ์นุราชมีอุปนิสัยอันธพาลหยาบช้า วันหนึ่งชวนวิรุณพัทไปประพาสป่า พบฤาษีบำเพ็ญตบะบำเพ็ญเพียรแก่กล้า เป็นอาจารย์เหล่ามนุษย์เทวา จึงทำลายล้างพิธีและสถานที่บำเพ็ญเพียร หลังจากนั้นเกิดความคิดว่าควรรุกรานพระนครใหญ่น้อยทั้งปวงให้อยี่ในอำนาจ จึงยกทัพไปตีได้เมืองไกยเกษ ท้ายไกยเกษหนีกองทัพท้าวคนธรรพ์นุราชเข้าเมืองได้ บรรดาเสนาเมืองไกยเกษจึงสร้าลกลอุบายให้เที่ยวชมสวนเพื่อถ่วงเวลาให้กองทัพ อโยธยายกมาช่วย พระรามสั่งให้พระพรต พระสัตรุดพร้อมด้วยพระมงกุฎและพระลบยกทัพไป เกิดการสู้รบกัน วิรุณพัทตายด้วยศรพระลบ ท้าวคนธรรพ์นุราชตายด้วยศรพระมงกุฎ
อสูรพันธมิตร
สัทธาสูร-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีหงเสน ปากขบตาจระเข้ บางแห่งว่าตาโพลง สวมมงกุฎจีบกายสีหงเสน มี 1 พักตร์ 2 กร เป็นเจ้าเมืองอัสดงค์ มีฤทธิ์เรียกอาวุธมาใช้ในกองทัพได้ หนุมานจึงแปลงกายเป็นลิงป่าขอให้สัทธาสูร สำแดงฤทธิ์ ให้องคตและพลวานรซ่อนตัวในก้อนเมฆ เมื่อล่อหลอกให้สัทธาสูรเรียกอาวุธ องคตและพลวานรเหาะมารับอาวุธเก็บไว้ จนกระทั่งหนุมานเรียกจึงทิ้งอาวุธลงมา ในที่สุดหนุมานก็ฆ่าสัทธาสูรและตัดเศียรไปถวายพระรามได้
มูลพลัม-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีเขียว ทำเป็น 4 หน้า โดยมีหน้าใหญ่ 1 หน้า หน้าเล็ก ๆ อยู่ข้างหลังตรงท้ายทอย 3 หน้า หัวโล้น ปากขบตาโพลง บางแห่งว่าปากแสยะ สวมกะบังหน้ากายสีเขียวมี 1 พักตร์ 2 กร บางตำราว่า 4 หน้า เป็นอุปราชเมืองปางตาล น้องชายของสหัสสเดชะ เป็นสัมพันธมิตรแห่งทศกัณฐ์อีกตนหนึ่งในจำนวน 7 ตน ยกทัพไปช่วยศึกลงกาตามคำเชิญของทศกัณฐ์พร้อมกับ สหัสสเดชะ มูลพลัมตายในที่รบด้วยศรพระลักษณ์
สหัสสเดชะ(สหัสเดชะ)-พญารากษสลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีขาว ทำเป็นหน้า 4 ชั้น หรือ 5 ชั้น ชั้นแรกมีหน้าปกติ 1 หน้า และหน้าเล็ก ๆ 3 หน้าเรียงอยู่ด้านหลังตรงท้ายทอย ชั้น 2 3 และ 4 ทำเป็นหน้าเล็ก 4 หน้า เรียงลดหลั่นกันไป ชั้นบนสุดทำเป็น 2 แบบ คือเป็นหน้ายักษ์ และแบบหน้าพรหมคล้ายกับหัวโขนทศกัณฐ์ ปากแสยะตาโพลง สวมมงกุฎชัยกายสีขาว มี 1,000 พักตร์ 2,000 กร ครองกรุงปางตาล เป็นพี่ชายของมูลพลัม มีตะบองวิศษชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น ได้พรจากพระพรหมเมื่อรบกับผู้ใดให้พลในกองทัพนั้นแตกกระจายไป เมื่อทศกัณฐ์ขอร้องให้มูลพลัมน้องชายไปช่วยศึกกรุงลงกา สหัสสเดชะได้ไปรบด้วยเมื่อมูลพลัมตายจึงได้รบแก้แค้น ตายโดยหนุมานจับตะบองวิศษและมัดด้วยหางตัดเศียรขาดกระเด็น
ไวยตาล-พญารากษสลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีครามอ่อน บางตำราว่าสีมอคราม ปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎหระหนกกายสีครามอ่อน บางตำราว่าสีมอคราม มี 1 พักตร์ 2 กรครองกรุงกุรุราษฎร์ในบาดาลเป็นสหายของท้าวจักรวรรดิแห่งกรุงมลิวันท้าวจักรวรรดิขอความช่วยเหลือให้มาช่วยรบศึกกรุงมลิวัน จึงได้ทำพิธิปลุกกระบองตาลวิเศษที่บาดาลเพื่อให้มีฤทธิ์ชี้ต้นตายชี้ปลายเป็นกายจะเป็นเพชร ใครฆ่าไม่ตาย พระพรตให้นิลพัทและอสุรพัตไปทำลายพิธี สำเร็จแล้วดักรออยู่จนกระทั่งท้าวไวยตาลยกทัพมา เกิดการสู้รบกัน ท้าวไวยตาลตาย
ไพจิตราสูร-พญายักษ์ลักษณะหัวโขน หน้ายักษ์สีขาว บางตำราว่าสีเขียว ปากแสยะตาโพลง บางแห่งว่าตาจระเข้ สวมมงกุฎน้ำเต้ากลมกายสีขาว บางตำราว่าสีเขียว มี 1 พักตร์ 2 กร เป็นเจ้าพิภพอสูร อยู่ระหว่างเขาตรีกูฎ ด้านใต้เขาพระสุเมรุ สัมพันธมิตรกับทศกัณฐ์
มเหศวรพงศ์
อิศวร-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว สวมมงกุฎน้ำเต้ากาบ นอกจากนี้ยังมีการทำมงกุฎเป็นยอดต่าง ๆ อีก เช่น ยอดน้ำเต้ากาบทรงปลี ยอดน้ำเต้ากาบทัดจันทร์ และยอดน้ำเต้ากาบปลายสะบัด เป็นต้นเทพเจ้าผู้สร้างโลก ผู้เป็นใหญ่ในเรื่องรามเกียรติ์ กายสีขาว 1 พักตร์ 4 กร เป็นมเหสักขเทวาราชองค์ที่ 1 สถิตที่ยอดเขาไกรลาส มีมเหสี 3 องค์ ทรงนามว่า อุมาภควดีมเหศวรี และ สรัสวดี มีโอรสชื่อพระขันธกุมาร พระพิเนศ และพระพินาย พระอิศวรมีพระนามต่าง ๆ ดังนี้ พระเป็นเจ้า พระศุลี พระจอมไกรลาส พระสยมภูวญาณ พระสยมภูวนาถ เมื่อคราวถอดงาช้างขว้างไปปักอกทศกัณฐ์
พิฆเณศวร-พระลักษณะหัวโขน หน้าเป็นช้างสีสัมฤทธิ์ หรือสีแดง สวมเทริดยอดน้ำเต้า หรือมงกุฎน้ำเต้าเฟืองเทพเจ้าแห่งศิลปะ พระพิฆเณศวร หรือ พระวิฆเนศวรนี้ ตามความนิยมแห่งไสยศาสตร์ว่า เป็นเจ้าแห่งความรู้ มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า อขุรถ คชมุข กรีมุข เอกทันต์ ลัมพกรรณ สัมโพทร ทวิเทห คเณศ พิเนศ เป็นโอรสของพระอิศวรกับพระอุมา มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ อ้วนเตี้ยท้องพลุ้ย หูยาน มีเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว มี 4 กร ถือ บ่วง และขอช้าง ภาพเขียนบางภาพมีถือวัชระบ้าง จักร์บ้าง สังข์บ้าง คฑาบ้าง ดอกบัวบ้าง มีพาหนะเป็นหนู ในบทละเครื่องรามเกียรติ์เป็นนายกอง ปีกซ้ายทัพพระอิศวรเมื่อสงครามตรีบุรัม ต่อมาอวตารเป็นเสนาวานรชื่อนิลเอก
นารายณ์- พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีดอกตะแบก สวมมงกุฎยอดเดินหน หรือมงกุฎยอดชัยเทพเจ้าผู้รักษาความดีพระนารายณ์อยู่ในตำแห่งพระมเหสักขเทวราชองค์ที่สองแห่งพระเป็นเจ้าทั้งสามของพราหมณ์ มีชื่อหลายชื่อตามฤทธิ์ตามเดชและเหตุการณ์ เช่น วิษณุ หรือพิษณุหิริอนันตไศยน ลักษมีบดี และจตุรภุช เป็นต้น กายเป็นสีดอกตะแบก 4 กร ทรงสังข์ คฑา จักรศร มีพญาครุฑเป็นพาหนะ มีอนันตนาคราชเป็นบัลลังค์ สถิต ณ เกษียรสมุทร มีมเหสีชื่อ พระลักษมี และพระศรีพระนารายณ์อวตารเป็นปางใหญ่มีอยู่ 10 ปาง คือ1. มัตสยาวตาร เป็นปลาไปปราบสังขอสูร 2. กูรมาวตาร เป็นเต่าไปปราบอสูรมัจฉา3. วราหาวตาร เป็นหมูไปปราบเหรันตยักษ์ 4. นรสิงหาวตาร เป็นนรสิงห์ไปปราบท้าวหิรัณตาสูร5. วามนาวตาร เป็นคนเตี้ยไปปราบท้าวตาวันตาสูร 6. ปรศุรามาวตาร เป็นรามสูรไปปราบกษัตริย์อรชุน7. รามาวตาร เป็นพระรามไปปราบท้าวทศกัณฐ์ 8. กฤษณาวตาร เป็นพระกฤษณะไปปราบท้าวพาณาสูร9. พุทธาวตาร เป็นพระสมณโคดมปราบท้าววัสดีมาร 10. กัลกิยาวตาร เป็นมหาบุรุษจะบันดาลให้โลกเป็นบรมสุข ในเรื่องรามเกียรติ์ พระอิศวรเชิญให้อวตารในโลกมนุษย์ เป็นโอรสท้าวทศรถพร้อมด้วยพระลักษมีพญาอนันนตนาคราช คฑาเพชร จักร สังข์ กับหมู่เทวดา แบ่งภาคไปเกิดเป็นทหารวานรพงศ์ ในกรุงชมพูและ ขีดขินและประทานพรให้พระนารายณ์ไปกำเนิดในครรภ์นางเกาสุวิยา ทรงนามว่า ราม ให้จักรเกิดในครรภ์นางไกยเกษีเป็นพระพรต พญานาคและสังข์เกิดในครรภ์นางสมุทรชาเป็นพระลักษณ์กับพระสัตรุดให้พระลักษณ์ไปเกิดในลงกา เป็นธิดาทศกัณฐ์ ชื่อ สีดา
พรหมธาดา-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว 4 พักตร์ ทำหัวโขนเป็น 2 แบบ คือแบบแรกทำเป็นหน้า 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นหน้าปกติ 1 หน้า ชั้นที่ 2 ทำเป็นหน้าเล็ก 3 หน้า สวมมงกุฎชัย แบบที่สองทำเป็นหน้าชั้นเดียว มีหน้าปกติ 1 หน้า หน้าเล็ก 3 หน้า เรียงไว้ตรงท้ายทอย สวมมงกุฎน้ำเต้า 5 ยอด หัวโขนนี้อาจใช้แสดงสหบดีพรหม และท้าวมาลีวราชด้วยเทพเจ้าแห่งพรหมวิหาร เป็นพระมเหสักขเทวราช องค์ที่ 3 ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในชั้นพรหม มี 4 พักตร์ 8 กร ถือธารพระกร ช้อน หม้อน้ำ คัมภีร์ มีประคำคล้องพระศอ มีธนูชื่อ ปรวีตะ มีหงส์เป็นพาหนะ พระพรหมมีกายสีขาว เป็นผู้มีน้ำพระทัยกอรปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทางพระพุทธศาสนาจึงได้เรียกว่า พรหมวิหาร
อินทร์-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีเขียว สวมมงกุฎยอดเดินหนเจ้าแห่งเทพนครอมรวดี ผู้ให้ความช่วยเหลือมนุษย์ เป็นมเหสักขเทวราชองค์ที่ 4 เป็นใหญ่อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นโอรสพระกศัยปเทพบิดร พระอทิติเป็นมารดา มีนามหลายนาม เช่น สหัสนัยน์ เมฆวาหน เพชรปาณี มรุตวาน ศักระ มเหนทร มัฆวาน อมรินทร์ เป็นต้น มีกายสีเขียว 1 พักตร์ 2 กร สถิตในวิมาน ชื่อเวชยันต์ ช้างทรงชื่อไอราพต สารถีชื่อมาตุลี ช่างชื่อวิศวกรรม มีมเหสี 4 องค์ คือ สุจิตรา สุชาดา สุธรรมา และสุนันทา แบ่งภาคเป็นพาลี
มาตุลี-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว สวมมงกุฎน้ำเต้ากลม อำมาตย์พระอินทร์คนที่ 1 เป็นสาถีขับรถพระอินทร์ กายสีขาว 1 พักตร์ 2 กร
วิศนุกรรม หรือวิศวกรรม หรือวิษณุกรรม-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีเขียว หัวโล้น ที่ผมเขียนเป็นลายดอกไม้ หัวโขนอีกแบบหนึ่งโพกผ้าหรือสวมมงกุฎน้ำเต้า หรือเทริดยอดน้ำเต้าอำมาตย์พระอินทร์คนที่ 3 เป็นเทวดานายช่างของพระอินทร์ คู่กับวิศวพรหมซึ่งเป็นนายช่างของพระพรหมกายสีเขียวมี 1 พักตร์ 2 กร ในบทละครเรื่องรามเกยรติ์ ได้ทำหน้าที่เป็นยกกระบัตรทัพแห่งพระอินทร์ เมื่อคราวรบกับอินทรชิต
ปัญจสีขร-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว สวมมงกุฎน้ำเต้า 5 ยอดเป็นเทพคนธรรพ์ มีกายสีขาว 1 พักตร์ 4 กร เป็นเทพเจ้าแห่งวิชาการดนตรี ถือบัณเฑาว์ และพิณหรือกระจับปี่ รับอาสาพระอิศวรช่วยพระนารายณ์อาวตารลงไปปราบยักษ์ โดยจุติมาเป็นณาณรสคนธ์ วานรเตียวเพชร
ปรคนธรรพ(ประโคนธรรพ์)-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีหงเสน หรือสีเขียว หรือสีเขียวใบแค หัวโขนบางหัวจะมีลายเป็นวงทักขิณาวัฎที่บริเวณใบหน้า มีลักษณะทำเป็นหน้าหนุ่ม และหน้าแก่ สวมชฎายอดบวชหรือชฎายอดฤาษี(ยอดดอกลำโพง) จอนหูมีแบบมนุษย์ และแบบฤาษี หรือสวมมงกุฎยอดน้ำเต้า ยอดของคนธรรพ์ เป็นเทพเจ้าแห่งวิชาการดนตรี ขับร้อง และดีดสีตีเป่า นัยว่าเป็นผู้คิดประดิษฐ์พิณขึ้น มีนิสัยเจ้าชู้ ถือว่าเป็นบรมครูแห่งการดนตรี กายสีหงเสน หรือสีเขียว หรือสีเขียวใบแค มี 1 พักตร์ 2 กร มีลักษณะเด่น คือ มีลายเป็นวงทักขิณาวัฎทั้งตัว มีพระขรรค์เป็นอาวุธ มักถือพิณติดตัวเป็นประจำ
พงศ์นารายณ์
1. พงศ์นารายณ์วงศ์กษัตริย์ แห่งกรุงอโยธยาท้าวอโนมาตัน- พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว มงกุฎยอดน้ำเต้าปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาหรืออโยธยา กายสีขาว 1 พักตร์ 4 กร กำเนิดในดอกบัวซึ่งผุดขึ้นจากพระนาภี (สะดือ) ของพระนารายณ์ได้รับอาวุธ 4 อย่างจากพระอิศวร คือ ศรตรีเพชร คฑา และธำมรงค์ พระอิศวรนับเป็นหลานจึงมีนามเรียกว่า "นัดดาพระศุลี"มีมเหสีชือนางมณีเกสร โอรสชชื่อท้าวอัชบาล
ท้าวทศรถ-พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว สวมชฏามนุษย์หรือมงกุกยอดชัยหรือมงกุฎยอดเดินหน กษัตริย์กรุงศรอยุธยาองค์ที่ 3 กายสีขาว 1 พักตร์ 2 กร ทรงศรเป็นอาวุธโอรสท้าวอัชบาลกับนางเทพอัปสร ท้าวทศรถมีมเหสี 3 องค์ คือ องค์ที่ 1 นางเกาสุริยา มีโอรสชื่อพระราม องค์ที่ 2 นางไกยเกษี มีโอรสชื่อพระพรต องค์ที่ 3 นางสมุทรชา หรือสมุทรเทวีหรือสมุทรมีโอรสชื่อพระลักษณ์ และพระสัตรุด
พระราม -พระลักษณะหัวโขน หน้าพระสีเขียวนวลตอนครองเมืองสวมมงกุฎยอดชัยหรือพระมหามงกุฎตอนเดินดงสวมมงกุฎยอดเดินหนตอนทรงพรตสวมชฎายอดบวชหรือชฎายอดฤาษีกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 4 กายสีเขียวนวล 1 พักตร์ 2 กร คือพระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็นโอรสของท้าวทศรถกับนางเกาสุริยาปกติพระรามทรงศรเป็นอาวุธ เวลาสำแดงอิทธิฤทธิ์ปรากฎเป็น 4 กร ทรงเทพอาวุธเช่นเดียวกับพระนารายณ์ คือ ตรีคฑาจักร และสังข์ มีมเหสีชื่อ นางสีดา ซึ่งได้แก่ พระลักษมีเทวีแบ่งภาคมาช่วยพระรามปราบปรามเหล่าอสูรร้ายผู้คอยทำลายความสงบสุขของโลก มีโอรสชื่อพระมงกุฎ ออกเดินดงตามที่นางไกยเกษีขอพรเป็นเวลา 14 ปี ในขณะเดินดงนั้น ทศกัณฐ์มาลักนางสีดา และเป็นเหตุให้เกิดสงครามล้างพวกยักษ์ เมื่อเสร็จศึกกรุงลงกาแล้ว พระรามยังคงต้องพลัดพรากจากนางสีดาอีก ด้วยเหตุเข้าใจผิดและระแวง จนกระทั้งพระอิศวรต้องมาไกล่เกลี่ย
พระพรตลักษณะหัวโขน หน้าพระสีแดงฉาด สวมชฎามนุษย์ หรือมงกุฎยอดชัย หรือมงกุฎยอดเดินหน เป็นอนุชาของพระราม กายสีแดงฉาด 1 พักตร์ 2 กร คือจักรพระนารายณ์อววตารมาเกิดเป็นโอรสท้าวทศรถและนางไกยเกษีไปอยู่เมืองไกยเกษกับท้ายไกยเกษ พระกับพระศตรุด เมื่อพระรามออกเดินดง พระพรตไม่ยอมรับราชสมบัติแต่จะรักษากรุงอโยธยาไว้จนกว่าพระรามจะกลับคืนเมือง
พระลักษณ์ลักษณะหัวโขน หน้าพระสีทองสวมมงกุฎยอดเดินหน มงกุฎยอดชัย หรือพระมหามงกุฎตอนทรงพรตสวมชฎายอดบวชหรือชฎายอดฤาษีเป็นอนุชาของพระราม กายสีทอง 1 พักตร์ 2 กร คือ บัลลังก์นาคและสังข์ของพระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็นโอรสท้าวทศรถกับนางสมุทรชา เมือ่พระรามออกเดินดงขอตามเสด็จด้วย
พระสัตรุดลักษณะหัวโขน หน้าพระสีม่วงอ่อน สวมชฎามนุษย์หรือมงกุฎยอดชัยหรือมงกุฎยอดเดินหนเป็นอนุชาของพระราม กายสีม่วงอ่อน บางแห่งว่าสีหงดิน 1 พักตร์ 2 กร คือ คฑาพระนารายณ์อวตารมาเกิดเป็นโอรสท้าวทศรถกับนางสมุทรชา ร่วมอุททรณ์กับพระลักาณ์ไปอยู่เมืองไกยเกษพร้อมทรงพรตได้ออกร่วมรบกับพระพรต ตามบัญชาของพระราม ในศึกกบฎสะกะและศึกเมืองมลิวัน ภายหลังกลับไปช่วยกำกับราชการที่เมืองไกยเกษกับพระพรต ตามเดิม
พรหมพงศ์
ท้าวสหบดี-พรหมลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว 4 หน้า ทำหัวโขนเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกมี 1 หน้า ตามปกติ ชั้นที่ 2 มี 3 หน้า สวมมงกุฎยอดชัยจตุรพักตร์-พรหมลักษณะหัวโขน หน้าพระสีขาว 4 หน้า 8 กร รูปสัณฐานเป็นพรหมน้องท้าวมาลีวราช ประวัติกล่าวว่า เดิมคือ ธาดาพรหมหรือมหาอัชฎาพรหม เมือ่ท้าวสหบดีพรหมสร้างกรุงลงกาเสร็จ ตรัสให้ท้าวธาดาพรหมมาปกครอง มีนามว่า ท้าวจัตุรพักตร์ นับเป็นกษัตริย์กรุงลงกาองค์ที่ 1 ท้าวสหบดีพรหมทรงประทานอาวุธ คือ ตรีศูล คฑา และฉัตรแก้วซึ่งใช้ยกบังแสงอาทิตย์ทำให้แลเห็นศัตรูฝ่ายเดียวมีบุษบกแก้วซึ่งเป็นอากาศยานวิเศษสามารถล่องลอยได้ตามใจนึกท้าวจัตุรพักตร์มีมเหสีชื่อนางมลิกา มีโอรสเป็นยักษ์ 4 กร ชื่อ ลัสเตียนคอรงราชสมบัติหกหมื่นปีจึงสิ้นชีพ
มลิกา-นางกายสีนวล 1 พักตร์ 2 กร สวมมงกุฎกษัตรีย์เป็นมเหสีท้าวจัตุรพักตร์
พญาวานร
ชามพูวราช(ชมพูหมี) หรือนิลเกสร-พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีแดงชาด สวมมงกุฎชัย ในตอนที่แปลงกายเป็นหมีมีชื่อว่าชมพูหมี หัวโขนทำเป็นหน้าหมี สวมเทริดยอดน้ำเต้าตามประวัติกล่าวว่าพญาวานรนี้มีกำเนิดจากไม้ไผ่ซึ่งผุดขึ้นขณะฤาษีสุขวัฒนบำเพ็ญฌาณ ฤราษีได้นำไปถวายพระอิศวร ทรงนำไปทำธนู ครั้งโก่งะนุหักเป็น 2 ท่อน ธนูเกิดเป็นพญาอสูรชื่อเวรัมภ์ ปลายธนูเกิดเป็นพญาวานรชื่อนิลเกสร ชื่อ ชามพูวราชบทบาทสำคัญคือ เป็นผู้แนะนำให้พระรามจองถนนไปกรุงลงกาเพื่อสร้างพระเกียรติยศให้ปรากฎตอนอินทรชิตทำพิธีชุบศรนาคบาศก็เป็นผู้ไปทำลายพิธีโดยแปลงกายเป็นหมี
หนุมาน-พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้า สีขาวผ่อง หัวโล้น สวมมาลัยทอง มีเขี้ยวแก้วอยู่กลางเพดานปากนอกจากนี้ยังมีการทำหัวโขนหน้าหนุมานอีกหลายแบบ คือ ตอนแผลงฤทธิ์มี 4 หน้า เป็นหน้าปกติ 1 หน้าและมีหน้าเล็ก 3 หน้าที่ด้านหลัง ตอนทรงเครื่อง (อาสาพระรามล่อลวงทศกัณฐ์) สวมชฎายอดกาบไผ่เดินหนของอินทรชิตตอนครองเมืองสวมมงกุฎยอดชัย ตอนออกบวชสวมชฎายอดฤษี นอกจากนี้ยังมีการทำหน้าหนุมานเป็นหน้ามุกอีกด้วย ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 1 กล่าวว่าหนุมานเป็นบุตรพระพายกับนางสวาหะ เกิดวันอังคาร เดือนสาม ปีขาล คลอดออกมาจากปากแม่ ตัวโตเท่ากับอายุสิบหกปี แผลงฤทธิ์เป็นสีสี่หน้าแปดมือ หาวเป็นดาวเป็นเดือน มีกุณฑลขนเพชรเขี้ยวแก้วถวายตัวต่อพระราม เป็นผู้ทำการสำคัญ ๆ หลายครั้งในศึกกรุงลงกา เมื่อเสร็จศึกพระรามประทานความชอบให้เป็นพระยาอนุชิตจักรกฤษณ์พิพัฒน์พงศา ครองเมืองนพบุรี ได้นางบุษมาลี นางเบญจกาย นางสุพรรณมัจฉา นางวานริน และนางสุวรรณกันยุมาเป็นเมีย มีบุตรชื่อมัจฉานุ เกิดกับนางสุพรรณมัจฉา)และ อสูรผัต (เกิดกับนางเบญจกาย)
มัจฉานุ - พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีขาวผ่อง หัวโล้น สวมมาลัยทอง มัจฉานุ ตัวเป็นวานร หางเป็นปลา เป็นบุตรหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา ต่อมาได้เป็นบุตรบุญธรรมของไมยราพณ์ เมื่อหนุมานฆ่าไมยราพณ์ตายได้ตั้งมัจฉานุเป็นอุปราชเมืองบาดาล ต่อมาพระรามตัดหางที่เป็นปลาออก ตั้งให้เป็นพญาหนุราช ครองเมืองมลิวัน มีชายาชื่อนางรัตนมาลี
สุครีพ-พญาวานรลัษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีแดงเสน หรือสีแดงชาด สวมชฎายอดบัด(บางแห่งว่าชฎายอดเดินหน)ตามประวัติกล่าวว่าเป็นโอรสพระอาทิตย์กับยนางกาลอัจฉาต้องคำสาปจากฤาษีโคดมเช่นเดียวกับพญากากาศ บทบาทสำคัญ คือ อาสาทำให้เขาพระสุเมรุซึ่งเอียงด้วยรามสูรจับอรชุนฟาดให้ตั้งตรงตามเดิม ต่อมาได้ถวายตัวต่อพระรามและได้ครองเมืองขีดขินแทนพาลี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดทัพออกรบทุกครั้งในศึกกรุงลงกา เมื่อเสร็จศึกได้บำเหน็จความเป็นพญาไวยวงศามหาสุรเดช ได้นางดาราเป็นชขายาหลังจากพาลีตาย
องคต-พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากหุบสัณฐานปากคล้ายแพะสีเขียวมรกต หรือสีเขียวกลาง สวมมงกุฎสามกลีบ องคตเป็นบุตรพญาพาลีกับนางมณโฑ ฤาษีอังคตทำพิธีผ่าตัดออกจากครรภ์นางมณโฑ แล้วไปใส่ในท้องแพะ สุครีพนำถวายตัวต่อพระราม มีบทบาทในการเป็นทูตสื่อสารให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดา และฆ่าสี่เสนายักษ์ตาย ครั้นเสร็จศึกได้ความดีความชอบเป็นพญาอินทรานุภาพ อุปราชเมืองขีดขิน
ท้าวมหาชมพู - พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีขาบ หรือสีดังปีกแมลงทับ สวมชฎาหรือมงกุฎยอดชัย มีฤทธิ์เดชมากไม่ยอมไหว้ใครนอกจากพระนารายณ์และพระอิศวร ปกครองเมืองชมพู เป็นพันธมิตรกับพญากากาศ เมืองขีดขิน ท้าวมหาชมพูนี้มีมเหสีชื่อนางแก้วอุดร ไม่มีบุตรธิดา ได้ถวายพลกรุงชมพูให้แก่พระราม เมื่อทราบว่าพระรามคือพระนารายณ์อวตาร
นิลพัท - พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีน้ำรัก หรือสีดำขลับ หัวโล้น สวมมาลัยทองเป็นบุตรพระกาลซึ่งพระอิศวรประทานให้ไปอยู่ช่วยกิจการบ้านเมืองของท้าวมหาชมพู บทบาทของนิลพัทในเรื่องรามเกียรติ์เป็นผู้คุมวานรเมืองชมพูจองถนนข้ามกรุงลงการ่วมกับหนุมาน ซึ่งคุมวานรเมืองขีดขิน เกิดทะเลาะวิวาทกัน พระรามลงโทษให้ไปรักษากรุงขีดขิน โดยส่งเสบียงแก่กองทัพเดือนละครั้ง อาสาเป็นทัพหน้าครั้งกบฏกรุงลงกา เสร็จศึกได้ศักดิ์เป็นพญาอภัยพัทวงศ์ อุปราชเมืองชมพู
www.khonmask.cjb.net
นิลนนท์ - พญาวานรลักษณะหัวโขน หน้าวานรปากอ้าสีหงสบาท หรือสีหงเสนเจือเหลือง หัวโล้น สวมมาลัยทองประวัติกล่าวว่าพญาวานรนี้เป็นบุตรพระเพลิง มีบทบาททำลายพิธีทศกัณฐ์ตั้งอุโมงค์ร่วมกับสุครีพและหนุมาน เสร็จศึกลงกาได้เป็นอุปราชเมืองชมพู เมื่อครั้งศึกพระพรตรบท้าวจักรวรรดิ นิลนนท์เป็นทูตสื่อสารเพื่อให้ยอมอ่อนน้อม การเจรจาความครั้งนี้ นิลนนท์ได้ทำการหักยอดปราสาทไปถวายพระพรต
วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551
e learning
eLearning ดร. ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตีพิมพ์ในนิตยสาร DVM ปีที่ 3 ฉบับที่ 12 JANUARY-FEBRUARY 2002 หน้า 26-28
นิยามและความหมาย
ความหมายของคำว่า e-learning หรือ Electronic Learning ในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างกันออกไปตามแหล่งที่มาและการนำไปใช้ แต่กล่าวโดยทั่วไปแล้ว e-learning หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์
มีวัตถุประสงค์ที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้องค์ความรู้ (knowledge) ได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถนที่ (Anywhere-Anytime Learning) เพื่อให้ระบบการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของกระบวนวิชาที่เรียนนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเรียนรู้ในลักษณะ e-learning หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงกระบวนการเปลี่ยนสื่อและเอกสารประกอบการสอนเดม ที่อยู่ในรูปสื่อกระดาษ (Paper base ) แผ่นใสหรือหนังสือ แปลงให้อยู่ในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (electronic format) เช่น แฟ้มข้อมูลชนิด Microsoft Word หรือ Microsoft PowerPoint หรือแปลงเป็นเว็บเพจแล้วนำเสนผ่านทางอิน
หรือเก็บไว้ในสื่อ CD-ROM จากนั้น ให้ผู้เรียนไปเรียนรู้เอง เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสอนแบบ e-learning ซึ่งแนวความคิดนี้ยังเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งนะครับ
การนำระบบ e-learning มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการสอนสูงสุดนั้น ผู้สอนจำเป็นอย่างยิ่งว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบ e-learning แตกต่างจากระบบการเรียนการสอนในรูปแบบปกติที่เรียกกันว่า face-to-face หรือ traditional classroom learning อย่างไร และจำเป็นที่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการปรับปรุงเรื่องเนื้อหา เทคโนโลยี
เทคนิคการนำเสนอและการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพ การนำระบบ e-learning เข้ามาใช้ และต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่าคุณภาพการเรียนรู้ของระบบ e-learning ต้องไม่ด้อยไปกว่าคุณภาพการเรียนรู้ในรูปแบบปกติ
คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง
การเรียนการสอนทางไกล (Distance Education)
โดยปกติแล้ว การเรียนการสอนทางไกล เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกกรสอนระยะทางไกลสู่ผู้เรียนหนึ่งคน หรือมากกว่าในสถานที่ต่างกัน
การเรียนการสอนแบบทางไกล เป็นระบบการเรียนการสอนที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายๆอย่าง เช่น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์การประชุมทางไกลชนิดภาพ/เสียง รวมถึงเอกสารต่างๆเพื่อเข้าถึงผู้เรียนที่อยู่ทางไกล หน่วยงานที่มีชื่อว่า National Center for Education Statistics(NCES) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดแบ่งยุคต่างๆของเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบการเรียนการสอนแบบทางไกลไว้เป็น 4 ยุค ด้วยกัน
การศึกษาผ่านทางอินเทอร์เน็ต (Web-Based Education)
American Center for the Study of Distance Education (ACSDE) ของมหาวิทยาลัย Pennsylvania State University ได้อธิบายความหมายของการศึกษาผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ Web-Based Education ไว้ว่า "เป็นรูปแบบการเรียนการ
สอนแบบทางไกลชนิดหนึ่ง ซึ่งการนำเสนอ เนื้อหา และการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เกิดจากการประยุกต์ใช้ อินเทอร์เน็ตเทคโนโลยี
เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนทางไกลชนิดอื่นแล้ว รูปแบบการเรียนการสอนชนิดนี้ มีการผสมผสานสื่อหลากหลายชนิดเข้าด้วยกันเช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ เสียงฯลฯ อีกทั้งยังเอื้ออำนวยให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
ทั้งที่ ณ เวลาจริง หรือต่างเวลากัน การเรียนการสอนชนิดนี้ ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่ต้องมีการประสานงานกัน(Collaborative Environments) ทั้งผู้เรียนและผู้สอน สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลชนิดหลายสื่อทาง
ผู้เรียนในบางขณะอาจต้องการเข้าถึงแหล่งข้อมูล เพื่อเรียนรู้แบบที่ผู้เรียนสามารถ ควบคุมจังหวะการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน
นอกจากนี้ การเรียนการสอนชนิดนี้ยังช่วยกำจัดด้านเวลา และระยะทางแก่ผู้เรียน นั่นหมายถึงผู้เรียนสามารถเข้ามาลงเรียนรู้เนื้อหาวิชาได้ จากที่ใดก็ได้
การเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning)
หมายถึง ระบบการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบของออนไลน์ ปัจจุบันมักหมายถึง การแปลงสภาพของการเรียนการสอนในรูปแบบเดิม ให้กลายมาเป็นการนำเนื้อหามาเป็นในรูปแบบของเว็บเพจ หรือเสียงบรรยายที่ถูกบันทึก
ทำให้นักศึกษาสามารถนำกลับมาฟังใหม่อีกได้ หรือการนำเอาลักษณะ การถามตอบในชั้นเรียนมาแปลงเป็นการใช้กระดานถาม-ตอบอิเล็กทรอนิกส์
โครงข่ายการเรียนอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning Networks:ALN)
หมายถึงโครงข่ายของกลุ่มผู้เรียนที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบที่ใดก็ได้ ณ เวลาใดก็ได้ (Anywhere-Anytime Learning)
การเรียนการสอนแบบ เป็นการผนวกการเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-study) กับระบบการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์อะซิงโครนัส
โดยทั่วไปแล้ว คำว่า อะซิงโครนัส (Asynchronous) หมายความว่า ณ ต่างเวลากัน ฉะนั้น ผู้เรียนในระบบ ALN นี้ จะใช้การติดต่อสื่อสารผ่านทางอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ เพื่อเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนระยะไกล หรือเพื่อ
ปฏิสัมพันธ์ กับอาจารย์ผู้สอน หรือผู้เรียนอื่น โดยไม่จำเป็นต้องออนไลน์ ณ เวลาเดียวกัน สื่อการเรียนการสอนระบบ ALN ที่นิยมใช้มกที่สุดคือ World Wide Web
จากคำจำกัดความเช่นนี้ ทำให้ระบบการเรียนการสอนชนิดนี้ จำเป็นจะต้องมีระบบที่เอื้อให้เกิดการถาม-ตอบ และปฏิสัมพันธ์กันออนไลน์เช่น การใช้กระดานถาม-ตอบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนแบบนี้ บางขณะอาจจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสาร
แบบซิงโครนัส(ณ เวลาเดียวกัน) อยู่บ้าง เช่น ในขณะการพบปะกันในครั้งแรกในชั้นเรียน การทดสอบการประชุมกลุ่ม หรือการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักศึกษาร่วมชั้นซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ อาจเกิดขึ้นในลักษณะออนไลน์ หรือ ในลักษณะพบปะกันจริง
โดยปกติแล้ว ระบบการเรียนการสอนแบบ ALN จะไม่รวมกระบวนการวิชาที่มีลักษณะเป็นการถ่ายทอดสดระบบภาพวีดีทัศน์หรือเสียงเป็นหลัก เนื่องจากระบบการเรียนการสอนแบบนั้น ผู้เรียนและผู้สอนทั้งหมด จำเป็นต้องใช้เวลาที่ตรงกันทุกครั้ง เช่น ในการร่วมกิจกรรมที่มีการบรรยายเป็นต้น
นอกจากนั้น ในระบบการเรียนการสอนที่การใช้เทปวีดีทัศน์ หรือการส่งเนื้อหาวิชาผ่านทางไปรษณีย์เป็นหลัก เช่นเดียวกันไม่จัดว่าเป็นการเรียนการสอนแบบ ALN เนื่องจากไม่เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน ระหว่างผู้เรียนกับอาจารย์ผู้สอน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนคน
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอน (Learning methods) หมายถึงรูปแบบหรือชนิดของการปฏิสัมพันธ์( Interaction)แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะหลักๆคือ
รูปแบบการเรียนการสอนในลักษณะซิงโครนัส (Synchronous Learning methods)หมายถึงการนำเสนอองค์ความรู้ รวมถึงปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน หรือผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกัน เกิดขึ้น ณ เวลาพร้อมกัน หรือเกิดขึ้น ณ
เวลาจริง ลักษณะการนำเสนอของ e-Learning ที่อยู่ในรูปแบบนี้ได้แก่ การใช้ระบบ Video Conference หรือระบบ Online Chat ไม่ว่าจะเป็นชนิดเสียงหรือตัวอักษร การปฏิสัมพันธ์จะเกิดขึ้น ณ เวลาเดียว
การนำเสนอในลักษณะอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning methods)การนำเสนอในลักษณะนี้ คู่ปฏิสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาที่ตรงกัน ตัวอย่างการเรียนการสอน e-Learning ในลักษณะนี้ได้แก่ การที่ให้นักศึกษาเรียนรู้ผ่านทางเว็บเพจ การปฏิสัมพันธ์ อาจเกิดขึ้นโดยการใช้กระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ (Webboard) หรือการใช้ E-mail เป็น
วัตถุประสงค์ของการนำสื่อ e-learning มาใช้
เราพอสรุปแง่มุมวัตถุประสงค์ของการนำสื่อ e-learning มาใช้ได้เป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 1 เป็นส่วนเสริม (Supplementary) ระดับนี้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ถูกนำเสนอออนไลน์สามารถถูกค้นพบได้ในรูปแบบอื่นๆ หน้าที่ของสิ่งต่างๆที่อยู่ออนไลน์ คือ เป็นทางเลือกทางการศึกษาแก่ผู้เรียนอีกทางหนึ่ง หรือเป็นการขยายโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์เพิ่มเติม
ระดับที่ 2 เป็นองค์ประกอบ (Complementary) ระดับนี้เป็นการเพิ่มสื่ออออนไลน์เข้าไปกับวิธีนำเสนออื่นๆ เช่น ในชั้นเรียนปกติสื่อที่เป็นออนไลน์จัดว่าเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องเข้าไปเรียนรู้ หน้าที่ของสื่อชนิดนี้ คือการให้ประสบการณ์การเรียนแก่ผู้เรียนซึ่งประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อ
ระดับที่ 3 เป็นการทดแทนสมบูรณ์แบบ (Comprehensive Replacement) ระดับนี้ การนำเสนอแบบออนไลน์จัดว่าเป็นรูปแบบหลักของการนำเสนอ หรือถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นของกระบวนการเรียนการสอน อย่างไรก็ตาม อาจมีการนำเสนอรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องร่วมด้วยได้ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ หรือปฏิบัติการ เป็นต้น หน้าที่ของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ออนไลน์คือเป็นการให้สิ่งแวดล้อมการเรียนอย่างสมบูรณ์ของเนื้อหากระบวนวิชานั้นๆ
ตารางเปรียบเทียบกิจกรรมการเรียน
รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ว่าเป็นในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชั้นเรียนโดยทั่วไปหรือเรียนในระบบ e-Learning สามารถเปรียบเทียบกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดังแสดงตามตารางที่
รูปแบบของการเรียน
ในสิ่งแวดล้อมชั้นเรียนปกติ
ในแบบเรียนในระบบ e-learning
เรียนรู้จากการฟัง (Learning by listening)
ผู้เรียนนั่งฟังบรรยายในชั้นเรียน
ใช้ระบบวีดิทัศน์ออนดีมานต์ผ่านทางเว็บเพจที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเมื่อใดก็ได้หรือสามารถเก็บไฟล์ไว้ดูเอง
เรียนรู้จากการค้นคว้า(Discovery learning)
ผู้เรียนค้นคว้าจากห้องสมุดหรือค้นหาจากสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
ใช้การค้นหาผ่านทางเว็บ เช่น Search Engines ต่างๆการค้นคว้าแบบนี้ค่อนข้างจะให้ผลที่บางครั้งดีกว่าการค้นคว้าจากห้องสมุดปกติ
เรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learn by doing)
ปฏิบัติการในห้องทดลอง หรือการปฏิบัติจริงในสถานการณ์ ต่างๆ รวมถึงการเขียนรายงานการสร้างบางสิ่งบางอย่างตามจุดประสงค์
ใช้การเรียนรู้แบบโมดูลการใช้แบบจำลองออนไลน์(Online Simulation) ที่เป็นทั้งระบบปฏิสัมพันธ์(Interactive) ผู้ใช้ รวมถึงการเขียนรายงานส่งออนไลน์
เรียนรู้จากการโต้ตอบ หรือ สนทนาในชั้นเรียน (Learn Through Discussion and Debate)
เช่นในวิชาสัมมนาที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการสนทนา และโต้ตอบในชั้นเรียนส่วนใหญ่และจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ หากมีผู้เรียนจำนวนมาก
ใช้ระบบกระดานถาม-ตอบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้การสนทนาดีกว่าในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชั้นเรียนปกติ เมื่อผู้เรียนมีจำนวนมาก
นิยามและความหมาย
ความหมายของคำว่า e-learning หรือ Electronic Learning ในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างกันออกไปตามแหล่งที่มาและการนำไปใช้ แต่กล่าวโดยทั่วไปแล้ว e-learning หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์
มีวัตถุประสงค์ที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้องค์ความรู้ (knowledge) ได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถนที่ (Anywhere-Anytime Learning) เพื่อให้ระบบการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของกระบวนวิชาที่เรียนนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเรียนรู้ในลักษณะ e-learning หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงกระบวนการเปลี่ยนสื่อและเอกสารประกอบการสอนเดม ที่อยู่ในรูปสื่อกระดาษ (Paper base ) แผ่นใสหรือหนังสือ แปลงให้อยู่ในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (electronic format) เช่น แฟ้มข้อมูลชนิด Microsoft Word หรือ Microsoft PowerPoint หรือแปลงเป็นเว็บเพจแล้วนำเสนผ่านทางอิน
หรือเก็บไว้ในสื่อ CD-ROM จากนั้น ให้ผู้เรียนไปเรียนรู้เอง เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสอนแบบ e-learning ซึ่งแนวความคิดนี้ยังเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งนะครับ
การนำระบบ e-learning มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการสอนสูงสุดนั้น ผู้สอนจำเป็นอย่างยิ่งว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบ e-learning แตกต่างจากระบบการเรียนการสอนในรูปแบบปกติที่เรียกกันว่า face-to-face หรือ traditional classroom learning อย่างไร และจำเป็นที่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการปรับปรุงเรื่องเนื้อหา เทคโนโลยี
เทคนิคการนำเสนอและการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพ การนำระบบ e-learning เข้ามาใช้ และต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่าคุณภาพการเรียนรู้ของระบบ e-learning ต้องไม่ด้อยไปกว่าคุณภาพการเรียนรู้ในรูปแบบปกติ
คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง
การเรียนการสอนทางไกล (Distance Education)
โดยปกติแล้ว การเรียนการสอนทางไกล เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกกรสอนระยะทางไกลสู่ผู้เรียนหนึ่งคน หรือมากกว่าในสถานที่ต่างกัน
การเรียนการสอนแบบทางไกล เป็นระบบการเรียนการสอนที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายๆอย่าง เช่น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์การประชุมทางไกลชนิดภาพ/เสียง รวมถึงเอกสารต่างๆเพื่อเข้าถึงผู้เรียนที่อยู่ทางไกล หน่วยงานที่มีชื่อว่า National Center for Education Statistics(NCES) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดแบ่งยุคต่างๆของเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบการเรียนการสอนแบบทางไกลไว้เป็น 4 ยุค ด้วยกัน
การศึกษาผ่านทางอินเทอร์เน็ต (Web-Based Education)
American Center for the Study of Distance Education (ACSDE) ของมหาวิทยาลัย Pennsylvania State University ได้อธิบายความหมายของการศึกษาผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ Web-Based Education ไว้ว่า "เป็นรูปแบบการเรียนการ
สอนแบบทางไกลชนิดหนึ่ง ซึ่งการนำเสนอ เนื้อหา และการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เกิดจากการประยุกต์ใช้ อินเทอร์เน็ตเทคโนโลยี
เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนทางไกลชนิดอื่นแล้ว รูปแบบการเรียนการสอนชนิดนี้ มีการผสมผสานสื่อหลากหลายชนิดเข้าด้วยกันเช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ เสียงฯลฯ อีกทั้งยังเอื้ออำนวยให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
ทั้งที่ ณ เวลาจริง หรือต่างเวลากัน การเรียนการสอนชนิดนี้ ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่ต้องมีการประสานงานกัน(Collaborative Environments) ทั้งผู้เรียนและผู้สอน สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลชนิดหลายสื่อทาง
ผู้เรียนในบางขณะอาจต้องการเข้าถึงแหล่งข้อมูล เพื่อเรียนรู้แบบที่ผู้เรียนสามารถ ควบคุมจังหวะการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน
นอกจากนี้ การเรียนการสอนชนิดนี้ยังช่วยกำจัดด้านเวลา และระยะทางแก่ผู้เรียน นั่นหมายถึงผู้เรียนสามารถเข้ามาลงเรียนรู้เนื้อหาวิชาได้ จากที่ใดก็ได้
การเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning)
หมายถึง ระบบการเรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบของออนไลน์ ปัจจุบันมักหมายถึง การแปลงสภาพของการเรียนการสอนในรูปแบบเดิม ให้กลายมาเป็นการนำเนื้อหามาเป็นในรูปแบบของเว็บเพจ หรือเสียงบรรยายที่ถูกบันทึก
ทำให้นักศึกษาสามารถนำกลับมาฟังใหม่อีกได้ หรือการนำเอาลักษณะ การถามตอบในชั้นเรียนมาแปลงเป็นการใช้กระดานถาม-ตอบอิเล็กทรอนิกส์
โครงข่ายการเรียนอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning Networks:ALN)
หมายถึงโครงข่ายของกลุ่มผู้เรียนที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบที่ใดก็ได้ ณ เวลาใดก็ได้ (Anywhere-Anytime Learning)
การเรียนการสอนแบบ เป็นการผนวกการเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-study) กับระบบการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์อะซิงโครนัส
โดยทั่วไปแล้ว คำว่า อะซิงโครนัส (Asynchronous) หมายความว่า ณ ต่างเวลากัน ฉะนั้น ผู้เรียนในระบบ ALN นี้ จะใช้การติดต่อสื่อสารผ่านทางอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ เพื่อเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนระยะไกล หรือเพื่อ
ปฏิสัมพันธ์ กับอาจารย์ผู้สอน หรือผู้เรียนอื่น โดยไม่จำเป็นต้องออนไลน์ ณ เวลาเดียวกัน สื่อการเรียนการสอนระบบ ALN ที่นิยมใช้มกที่สุดคือ World Wide Web
จากคำจำกัดความเช่นนี้ ทำให้ระบบการเรียนการสอนชนิดนี้ จำเป็นจะต้องมีระบบที่เอื้อให้เกิดการถาม-ตอบ และปฏิสัมพันธ์กันออนไลน์เช่น การใช้กระดานถาม-ตอบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนแบบนี้ บางขณะอาจจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสาร
แบบซิงโครนัส(ณ เวลาเดียวกัน) อยู่บ้าง เช่น ในขณะการพบปะกันในครั้งแรกในชั้นเรียน การทดสอบการประชุมกลุ่ม หรือการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักศึกษาร่วมชั้นซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ อาจเกิดขึ้นในลักษณะออนไลน์ หรือ ในลักษณะพบปะกันจริง
โดยปกติแล้ว ระบบการเรียนการสอนแบบ ALN จะไม่รวมกระบวนการวิชาที่มีลักษณะเป็นการถ่ายทอดสดระบบภาพวีดีทัศน์หรือเสียงเป็นหลัก เนื่องจากระบบการเรียนการสอนแบบนั้น ผู้เรียนและผู้สอนทั้งหมด จำเป็นต้องใช้เวลาที่ตรงกันทุกครั้ง เช่น ในการร่วมกิจกรรมที่มีการบรรยายเป็นต้น
นอกจากนั้น ในระบบการเรียนการสอนที่การใช้เทปวีดีทัศน์ หรือการส่งเนื้อหาวิชาผ่านทางไปรษณีย์เป็นหลัก เช่นเดียวกันไม่จัดว่าเป็นการเรียนการสอนแบบ ALN เนื่องจากไม่เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน ระหว่างผู้เรียนกับอาจารย์ผู้สอน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนคน
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอน (Learning methods) หมายถึงรูปแบบหรือชนิดของการปฏิสัมพันธ์( Interaction)แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะหลักๆคือ
รูปแบบการเรียนการสอนในลักษณะซิงโครนัส (Synchronous Learning methods)หมายถึงการนำเสนอองค์ความรู้ รวมถึงปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน หรือผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกัน เกิดขึ้น ณ เวลาพร้อมกัน หรือเกิดขึ้น ณ
เวลาจริง ลักษณะการนำเสนอของ e-Learning ที่อยู่ในรูปแบบนี้ได้แก่ การใช้ระบบ Video Conference หรือระบบ Online Chat ไม่ว่าจะเป็นชนิดเสียงหรือตัวอักษร การปฏิสัมพันธ์จะเกิดขึ้น ณ เวลาเดียว
การนำเสนอในลักษณะอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning methods)การนำเสนอในลักษณะนี้ คู่ปฏิสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาที่ตรงกัน ตัวอย่างการเรียนการสอน e-Learning ในลักษณะนี้ได้แก่ การที่ให้นักศึกษาเรียนรู้ผ่านทางเว็บเพจ การปฏิสัมพันธ์ อาจเกิดขึ้นโดยการใช้กระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ (Webboard) หรือการใช้ E-mail เป็น
วัตถุประสงค์ของการนำสื่อ e-learning มาใช้
เราพอสรุปแง่มุมวัตถุประสงค์ของการนำสื่อ e-learning มาใช้ได้เป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 1 เป็นส่วนเสริม (Supplementary) ระดับนี้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ถูกนำเสนอออนไลน์สามารถถูกค้นพบได้ในรูปแบบอื่นๆ หน้าที่ของสิ่งต่างๆที่อยู่ออนไลน์ คือ เป็นทางเลือกทางการศึกษาแก่ผู้เรียนอีกทางหนึ่ง หรือเป็นการขยายโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์เพิ่มเติม
ระดับที่ 2 เป็นองค์ประกอบ (Complementary) ระดับนี้เป็นการเพิ่มสื่ออออนไลน์เข้าไปกับวิธีนำเสนออื่นๆ เช่น ในชั้นเรียนปกติสื่อที่เป็นออนไลน์จัดว่าเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องเข้าไปเรียนรู้ หน้าที่ของสื่อชนิดนี้ คือการให้ประสบการณ์การเรียนแก่ผู้เรียนซึ่งประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อ
ระดับที่ 3 เป็นการทดแทนสมบูรณ์แบบ (Comprehensive Replacement) ระดับนี้ การนำเสนอแบบออนไลน์จัดว่าเป็นรูปแบบหลักของการนำเสนอ หรือถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นของกระบวนการเรียนการสอน อย่างไรก็ตาม อาจมีการนำเสนอรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องร่วมด้วยได้ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ หรือปฏิบัติการ เป็นต้น หน้าที่ของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ออนไลน์คือเป็นการให้สิ่งแวดล้อมการเรียนอย่างสมบูรณ์ของเนื้อหากระบวนวิชานั้นๆ
ตารางเปรียบเทียบกิจกรรมการเรียน
รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ว่าเป็นในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชั้นเรียนโดยทั่วไปหรือเรียนในระบบ e-Learning สามารถเปรียบเทียบกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดังแสดงตามตารางที่
รูปแบบของการเรียน
ในสิ่งแวดล้อมชั้นเรียนปกติ
ในแบบเรียนในระบบ e-learning
เรียนรู้จากการฟัง (Learning by listening)
ผู้เรียนนั่งฟังบรรยายในชั้นเรียน
ใช้ระบบวีดิทัศน์ออนดีมานต์ผ่านทางเว็บเพจที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเมื่อใดก็ได้หรือสามารถเก็บไฟล์ไว้ดูเอง
เรียนรู้จากการค้นคว้า(Discovery learning)
ผู้เรียนค้นคว้าจากห้องสมุดหรือค้นหาจากสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
ใช้การค้นหาผ่านทางเว็บ เช่น Search Engines ต่างๆการค้นคว้าแบบนี้ค่อนข้างจะให้ผลที่บางครั้งดีกว่าการค้นคว้าจากห้องสมุดปกติ
เรียนรู้จากการปฏิบัติ (Learn by doing)
ปฏิบัติการในห้องทดลอง หรือการปฏิบัติจริงในสถานการณ์ ต่างๆ รวมถึงการเขียนรายงานการสร้างบางสิ่งบางอย่างตามจุดประสงค์
ใช้การเรียนรู้แบบโมดูลการใช้แบบจำลองออนไลน์(Online Simulation) ที่เป็นทั้งระบบปฏิสัมพันธ์(Interactive) ผู้ใช้ รวมถึงการเขียนรายงานส่งออนไลน์
เรียนรู้จากการโต้ตอบ หรือ สนทนาในชั้นเรียน (Learn Through Discussion and Debate)
เช่นในวิชาสัมมนาที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการสนทนา และโต้ตอบในชั้นเรียนส่วนใหญ่และจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ หากมีผู้เรียนจำนวนมาก
ใช้ระบบกระดานถาม-ตอบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้การสนทนาดีกว่าในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชั้นเรียนปกติ เมื่อผู้เรียนมีจำนวนมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)